มาแล้วจ้าาาา...ภาคต่อของ
ถ้าไม่อยากพลาดภาคแรก คลิ๊กตรงนี้เลย
สำหรับภาคนี้ เราก็จะมาแกะกล่องแบบจริงจัง ไม่หลอกกัน ถ้าพร้อมแล้ว ลุย!!
เริ่มที่ตัวแรก 'The Ordinary Caffeine Solution 5% + EGCG' นางเกิดมาเพื่องานใต้ตาแพนด้าของสาวนอนน้อย ซึ่งในขวดนี้นางเคลมว่า ใส่สารคาเฟอีนเข้มข้นมาถึง 5% และเสริมด้วย สาร EGCG บริสุทธิ์ที่สกัดมาจากใบชาเขียว และจากการวิจัยก็แสดงให้เห็นว่าสารทั้งสองนี้ ช่วยลดอาการบวมและรอยคล้ำบนเส้นรอบดวงตา นอกจากนั้นคาเฟอีนยังสามารถลดเซลลูไลท์ได้อีกด้วย
วิธีใช้: นวดบริเวณผิวรอบดวงตา โดยสามารถใช้ได้ทั้งเช้าและกลางคืน ถ้าใช้ตอนเช้าควรทากันแดด เพราะสาร EGCG ค่อนข้างไวต่อแสง ขวดนางเลยแตกต่างจากเพื่อนเป็นแบบป้องกัน UV * แต่อย่าเผลอให้ผลิตภัณฑ์สัมผัสกับดวงตานะคะ เพราะแสบเอาเรื่องอยู่
>> ผลหลังใช้ 7 วัน: ใต้ตาคล้ำดูจางลงเล็กน้อย ถ้าเป็นวันที่นอนดึก ตื่นมาก็รู้สึกตาไม่ค่อยบวมมากเท่าเมื่อก่อน ถ้าหวังเห็นผลทันตาสำหรับเรายังไม่ตอบโจทย์ อาจจะต้องลองใช้ไปเรื่อยๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หรือใช่ Eye Mask ควบคู่กัน.
ต่อด้วยตัวที่สอง 'The Ordinary Lactic Acid 5% + HA 2%' งานผลัดผิวอย่างอ่อนโยนด้วยกรดแลคติค ประสานด้วยกรดไฮยาลูรอนิค (HA) กักเก็บความชุ่มชื้นช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น เนื่องจากนี้ยังมีการผสม Tasmanian pepperberry เพื่อลดการอักเสบและระคายเคืองจากการผลักเซลล์ผิว เหมาะกับผิวแพ้ง่าย หรือคนที่ไม่เคยใช้พวกงานกรดผลัดเซลล์ผิวแนะนำให้เริ่มที่ตัวนี้เลย
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่อยากได้อยากมี ซื้อดีไซน์ล้วนๆ นั่นก็คือ 'Tangle Teezer Compact Styler' ที่แปรงผมพกพาที่เคลมว่า เส้นแปรงมาพร้อมกับเทคโนโลยี โดยที่เส้นยาวจะช่วยให้ผมไม่ผันกัน ส่วนเส้นสั้นช่วยให้ผมดูสุขภาพดี เป็นประกาย ซึ่งแปรงตัวนี้มีขายใน Sephora แต่ราคานี่ก็โหดมาก เลยซื้อใน ASOS แทนเพราะถูกกว่า 300 - 400 บาท
วิธีใช้: ใช้วันละ 1 ครั้งก่อนนอน จะใช้เดี่ยวๆ หรือไปผสมกับทรีตเม้นท์ที่ใช้อยู่ประจำก็ได้ เพราะจะได้ช่วยลดความรุนแรงของผลิตภัณฑ์ เลยแนะนำให้ลองเทสดูก่อน ยิ่งถ้าไม่เคยใช้งานกรดมาก่อน อาจมีโอกาสแพ้หรือผิวลอกได้
>> ผลหลังใช้ 7 วัน: ตื่นมารู้สึกผิวนุ่มขึ้น สะอาดขึ้น ไม่มีผิวลอก แต่เรามีอาการคันเล็กน้อยบริเวณคอ อาจจะเป็นบริเวณที่ผิวแห้งมาก
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่อยากได้อยากมี ซื้อดีไซน์ล้วนๆ นั่นก็คือ 'Tangle Teezer Compact Styler' ที่แปรงผมพกพาที่เคลมว่า เส้นแปรงมาพร้อมกับเทคโนโลยี โดยที่เส้นยาวจะช่วยให้ผมไม่ผันกัน ส่วนเส้นสั้นช่วยให้ผมดูสุขภาพดี เป็นประกาย ซึ่งแปรงตัวนี้มีขายใน Sephora แต่ราคานี่ก็โหดมาก เลยซื้อใน ASOS แทนเพราะถูกกว่า 300 - 400 บาท
>> ผลหลังใช้ : แปรงไม่กินผม ทำให้ผมไม่ผันกัน บางทีก็รู้สึกเหมือนไม่ได้หวีเลย เพราะเราเป็นคนผมหนา เส้นแปรงมันหวีไม่ถึงผมข้างใน แต่อย่างที่บอกเราซื้อดีไซน์ เน้นใช้สวยๆ
สรุปแล้ว เราขอให้นิยามกับ 'The Ordinary: ถูกและดีมีอยู่จริง' เพราะถือได้ว่าเป็นแบรนด์อีกตัวเลือกหนึ่งที่สมเหตุสมผลกับส่วนผสมที่ใช้ แต่ที่ดีกว่านั้นคือ การออกแบบกับ Brand Story ซึ่งต้องยอมรับว่า นางทำออกมาได้ดี ทั้งน่าสนใจและน่าเชื่อถือ แต่โดยส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว๊าวขนาดนั้น เมื่อเทียบกับที่คนรีวิวกันไว้ ** แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคนด้วยนะ ** แล้วก็ติดที่ยังไม่มีขายในไทย บางตัวที่อยากลองก็ไมีมีขายใน ASOS ไม่งั้นต้องซื้อร้านพรีออเดอร์ที่สั่งจากอเมริกาแทน ซึ่งเราอาจจะไปหนีไปซื้อป้า Puala's Choice ก่อน เพราะเล็งป้าแกมานาน ล่าสุดป้าแกก็เพิ่งเปิดช็อปใหม่ที่ Siam Discovery พอดี ก็เลยอยากไปเจิมซะหน่อย.
Comments
Post a Comment